วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

10 อาหารที่แพทย์จีนเตือน



ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน


1. ไข่เยี่ยวม้า : ไข่เยี่ยวม้ามี ตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่ว เช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ


2. ปาท่องโก๋ : กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย


3. เนื้อย่าง : กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง


4. ผักดอง : ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูง และโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง


5. ตับหมู : ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง(อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น


6. ผักขม ปวยเล้ง : ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้


7. บะหมี่สำเร็จรูป : บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการสะสมสารพิษได้


8. เมล็ดทานตะวัน : เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทว่า... การกินมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น


9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้ : กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย... ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย


10. ผงชูรส : คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา... การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกินทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูง อาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

ประโยชน์จากเปลือกแอปเปิ้ล




ป้องกันมะเร็งไส้ใหญ่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ



มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ...


นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูก จะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้



วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป" แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรค จะลดลงได้ประมาณถึงครึ่ง


พวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมัน คงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ และยังยับยั้งอาการตั้งต้นของโรค และการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วย


นักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือก มากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ซาลาเปา กับโรคอาหารเป็นพิษ


ซาลาเปา เป็นอาหารว่างอีกเมนูหนึ่งที่เรามักเห็นจำหน่ายอยู่ในร้านสะดวกซื้อหรือตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากเป็นอาหารที่หาทานง่าย ทานเป็นอาหารรองท้องสำหรับรอมื้อหลักหรือทานเป็นอาหารว่างก็เป็นที่นิยม เพราะราคาไม่สูงมากนัก


ปัจจุบันมีคนคิดและปรับปรุงสูตรของการผลิตไส้ซาลาเปาให้มีความหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการในรสชาติของผู้บริโภคทุกกลุ่ม มีทั้งไส้หวาน ไส้หมูสับไข่เค็ม ไส้หมูแดง ไส้ครีม และไส้แปลกใหม่อื่นๆ สำหรับคนที่ติดใจในรสชาติดั้งเดิมของซาลาเปาคือ ไส้หมูสับไข่เค็ม หรือไส้หมูแดง


ส่วนเด็กๆ และคนรุ่นใหม่ มักนิยมซาลาเปาที่มีเนื้อแป้งนุ่ม ผสมกับไส้ครีมหวานๆ มันๆ เมื่อเป็นอาหารว่างที่หาทานกันง่าย จึงไม่น่าแปลกที่ในตู้อาหารแช่แข็งตามร้านสะดวกซื้อ จะมีซาลาเปาบรรจุถุงจำหน่ายอยู่หลายยี่ห้อ เมื่อจะรับประทานก็เพียงแค่ฉีกซองแล้วนำไปอุ่นในไมโครเวฟ


หรือจะซื้อกลับมานึ่งในหม้อหุงข้าวที่บ้าน ตามแบบฉบับชาวบ้านก็ไม่แปลก เมื่อซาลาเปาได้รับความร้อนสักครู่ จากที่เป็นของแข็งอยู่ก็จะกลายมาเป็นซาลาเปาที่เนื้อนุ่ม พร้อมกับรสชาติที่ยังคงเหมือนเดิม


สำหรับซาลาเปาไส้ครีม นับเป็นอาหารอีกชนิดที่วันนี้คนชอบทานต้องระวัง

เพราะในไส้ครีมนั้นอาจมีอันตรายปะปนอยู่ได้อันตรายที่ว่า คือเชื้อก่อโรค "บาซิลลัสซีเรียส" ที่เป็นตัวการของโรคอาหารเป็นพิษ ทำให้มีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเหลวและอาจมีอาการคลื่นไส้รวมอยู่ด้วย

อย่าคิดว่าอาหารเช่นซาลาเปาไส้ครีม ที่ถูกอุ่นให้ร้อนแล้วจะไม่อันตราย ความจริงแล้ว หากนำมาเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้องนานเกินไปจนเย็นซีด โดยไม่ได้อุ่นให้ร้อนอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่เชื้อ "บาซิลลัสซีเรียส" จะเจริญเติบโตนั้นเป็นไปได้สูงมากๆ


วันนี้สถาบันอาหาร ได้ทำการสุ่มตัวอย่างซาลาเปาไส้ครีมจำนวน 5 ยี่ห้อ เพื่อนำมาวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนของเชื้อ "บาซิลลัสซีเรียส"

ปรากฏมี 1 ตัวอย่าง ที่พบการปนเปื้อน แต่ปริมาณที่พบปนเปื้อนนั้นยังไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน

ถึงตรงนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการเลือก ทางที่ดีซื้อจากร้านที่สะอาด มีการผลิตสดใหม่ทุกวัน หรือเลือกยี่ห้อที่บรรจุซาลาเปาในถึงที่สะอาด ไม่ฉีกขาด ฉลากระบุวันเดือนปีที่ผลิต หรือหมดอายุและที่สำคัญก่อนทานต้องอุ่นให้ร้อนเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย

“กำแพงมีหู ประตูมีช่อง” หรือ “หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง” กันแน่ ???



กำแพงมีหู ประตูมีช่อง หรือ กำเเพงมีหู ประตูมีตา



หมายความว่า การพูดหรือทำอะไรต้องระมัดระวัง เพราะแม้จะดูเสมือนว่าปกปิดมิดชิด คืออยู่ในกำแพงหรือปิดประตูแล้ว ก็ยังอาจมีคนล่วงรู้ได้

สาเหตุที่นำคำว่า กำแพง และ ประตู มาใช้คู่กัน อาจเป็นเพราะทั้งกำแพงและประตูที่ปิดอยู่ เป็นสิ่งที่กั้นบังไว้ไม่ให้ได้เห็นหรือได้ยิน แต่กำแพงและประตูก็อาจมีช่องมีรูให้แอบฟังหรือแอบดูได้


จึงเปรียบว่ากำแพงมีหู ประตูมีช่อง หรือ กำแพงมีหู ประตูมีตา


สำนวนนี้บางทีมีผู้ใช้ผิดว่า หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง



อาการปากเเห้งคืออะไร



อาการปากแห้ง

หมายถึง การที่คุณไม่มีน้ำลายที่เพียงพอเพื่อให้ปากชุ่มชื้น ทุกคนสามารถมีอาการปากแห้งได้เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเวลาที่เราตื่นเต้นหรือกังวลใจ เสียใจหรือเครียด แต่ถ้าคุณมีอาการปากแห้งเป็นส่วนใหญ่ นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ หรือส่งสัญญาณว่าคุณมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ ทั้งนี้น้ำลายไม่ได้มีไว้เพียงให้ความชุ่มชื้น แต่น้ำลายยังช่วยย่อยอาหาร ปกป้องฟันจากการผุ ป้องกันการติดเชื้อโดยการควบคุมแบคทีเรียในปาก และทำให้คุณสามารถเคี้ยวและกลืนอาหารได้


เหตุผลที่ทำให้ต่อมน้ำลายทำงานไม่ปกติมีหลาย ประการได้แก่


ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด - ยากว่า 400 ประเภทสามารถทำให้เกิดอาการปากแห้ง อาทิเช่น ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ และยาลดความดันโลหิต

โรคบางชนิด - โรคที่มีผลกระทบต่อต่อมน้ำลาย อาทิ โรคเบาหวาน โรคฮอดจ์กิน โรคพาร์กินสัน โรค HIV/AIDS และโรคตาแห้ง (Sjogren's syndrome) สามารถนำไปสู่อาการปากแห้งได้

การฉายรังสี - ต่อมน้ำลายอาจถูกทำลายได้ถ้าส่วนศรีษะและคอสัมผัสถูกรังสีระหว่างการรักษา มะเร็ง การสูญเสียน้ำลายอาจจะเป็นเพียงบางส่วนหรือทั้งหมดช่องปาก และอาจเป็นอาการชั่วคราวหรือถาวรได้

เคมีบำบัด - ยาที่ใช้ในการรักษามะเร็งสามารถทำให้น้ำลายมีความเหนียงขึ้น ทำให้คุณรู้สึกปากแห้ง

การหมดประจำเดือน - ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อต่อมน้ำลาย ทำให้ผู้หญิงมีอาการปากแห้งในช่วงหลังจากมีประจำเดือนและในวัยหมดประจำเดือน

การสูบบุหรี่ - ผู้สูบไปป์ ซิการ์ และบุหรี่จัด อาจมีอาการปากแห้ง



เราจะทราบได้อย่างไรว่ามีอาการปากแห้ง

ปากของทุกคนสามารถมีอาการแห้งได้เป็นครั้งคราว แต่จะเป็นปัญหาเมื่อคุณรู้สึกว่าอาการปากแห้งไม่หายไป อาการบางอย่างของอาการปากแห้งมีดังนี้:

ความรู้สึกเหนียวหรือแห้งในปาก

มีปัญหาในการกลืน

มีอาการปากร้อน

คอแห้ง

ริมฝีปากแตกแห้ง

ความสามารถในการรับรสชาติน้อยลง และความรู้สึกถึงรสชาติคล้ายโลหะในปาก

อาการเจ็บปาก

ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

ปัญหาในการเคี้ยวอาหารและการพูด

อาการปากแห้งสามารถรักษาได้อย่างไร

การรักษาแบบถาวรทางเดียวคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าอาการปากแห้งของคุณเกิดจากการใช้ยาบางชนิด แพทย์อาจเปลี่ยนการสั่งยาหรือปรับปริมาณยาให้ ถ้าต่อมน้ำลายทำงานผิดปกติ แต่ยังสามารถผลิตน้ำลายได้ แพทย์อาจสั่งยาที่ช่วยให้ต่อมน้ำลายทำงานดีขึ้น

ถ้าอาการปากแห้งไม่สามารถรักษาได้ หรือระหว่างรอการรักษา คุณสามารถรักษาความชุ่มชื้นในปากได้หลายวิธี ทันตแพทย์อาจแนะนำสิ่งที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในปาก อาทิ น้ำลายเทียม การบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสูตรพิเศษเฉพาะสำหรับอาการปากแห้งอาจช่วยได้เช่น กัน นอกจากนี้ คุณอาจจะ:

จิบน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาลบ่อยๆ

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลมบางชนิด ที่ทำให้ปากแห้ง

เคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล หรือลูกอมปราศจากน้ำตาลที่กระตุ้นการผลิตน้ำลาย (ถ้าต่อมน้ำลายยังคงทำงานได้อยู่)

ไม่ใช้ยาสูบหรือแอลกอฮอล์ที่ทำให้ปากแห้ง

ระวังอาหารรสเผ็ดหรือเค็มซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บในปาก



























วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เมื่อ รักเรา ไม่ใช่ที่หนึ่ง


เมื่อ "รักเรา" ไม่ใช่ที่หนึ่ง
การไม่ได้เป็นที่ "หนึ่ง" ในใจคนที่เรารักนั้น
ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสมอไป
การเป็นที่สอง ในใจเขานั้น ย่อมดีกว่าการเป็นที่สาม ที่สี่
หรือถึงแม้ว่า . . . เราจะเป็นที่สุดท้าย
แต่มันก็ยังดีกว่า การที่เราไม่ได้อยู่ในใจเขาคนนั้นเลยไม่ใช่หรือ
จงยิ้มให้ความรัก และ รักต่อไปเถอะ
แม้ว่า . . . รักนั้นอาจไม่ใช่ที่หนึ่ง
จนกว่าที่เรา จะบอกกับตัวเองว่า . . . "
เราทนอีกต่อไป ไม่ได้แล้ว
เราเหนื่อยกับรัก ที่เป็นเช่นนี้เหลือเกิน"
การรักใครสักคนนั้น . . .
ง่ายกว่าการตัดใจ จากใครสักคนนัก
การสบตา จากใครสักคนนั้น . . .
ย่อมมีความสุข กว่าการหลบตาใครสักคน เป็นแน่แท้
จะมีสักกี่คน ที่สามารถทำให้เรายิ้มได้ . . . . . .
อย่างสุดหัวใจ และเศร้าได้อย่างสุดหัวใจ
อย่า . . . โทษเขา ที่ไม่ได้รักเรา
อย่า . . . โทษพรหมลิขิตที่ทำให้เราเจอกัน แต่ไม่ได้ทำให้เรารักกัน
อย่า . . . โทษหัวใจตัวเองที่ไปรักเขา
อย่า . . . โทษกาลเวลาที่ทำให้เราเจอกันช้าไป
จงมีความสุข และยิ้มให้กับสิ่งต่าง ๆ เถอะ
ยิ้มให้กับคนที่เขาไม่รักเรา . . .
เพราะอย่างน้อยเขาก็คือ คนที่ได้รับความรักจากเรา
ยิ้มให้กับพรหมลิขิต ที่ทำให้เราเจอกันถึงแม้เราจะไม่ได้รักกัน . . .
เพราะอย่างน้อยพรมลิขิต ก็ยังได้ทำให้เราได้รู้จักกัน
ยิ้มให้กับหัวใจตัวเอง ที่ไปรักเขา . . .
เพราะอย่างน้อยหัวใจของเรา ก็ยังได้เรียนรู้กับความรัก
ยิ้มให้กับกาลเวลา ที่ทำให้เราเจอกันช้าไป . . .
เพราะอย่างน้อย ก็ยังทำให้เราได้เจอกัน
เราควรดีใจไม่ใช่หรือ ที่อย่างน้อยเรายังยิ้มให้กับคนที่เรารักได้

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

วันวิทยาศาสตร์ได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2525 โดย มติของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอันเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" เพราะทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ



วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี ได้มีการจัดงานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นทั่วประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา โดยมีกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน เป็นหน่วยงานหลักในการจัดร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งภาครัฐและเอกชน ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 งานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้รับการขยายให้เป็นงานใหญ่ขึ้น เป็นงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ โดยจะมีการจัดงานในระหว่างวันที่ 18-24 สิงหาคม



พระราชกรณียกิจทางด้านดาราศาสตร์ของรัชกาลที่ 8

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้สร้างหอดูดาวบนเขาวัง ในจังหวัดเพชรบุรี เมื่อ

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ พระราชทานนามว่า "หอชัชวาลเวียงชัย" ซึ่งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้เคยทอดพระเนตรดาวหาง 3 ดวงคือ

ดาวหางฟลูเกอร์กูส (Flaugergues s Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่และมีหาง 2 หาง ปรากฏในรัชสมัย พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อ พ.ศ. 2355 ขณะนั้นเจ้าฟ้ามงกฏมีพระชันษาราว 8 ปี เมื่อทรงเห็นแล้ว คงจะทรงติดตามศึกษาเรื่องดาวหางอยู่เสมอ เพราะว่าก่อนดวงที่ 2 จะมาปรากฏ พระองค์สามารถทรงนิพนธ์ประกาศฉบับแรกชื่อว่า " ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก" แจ้งแก่ประชาชน"

ดาวหางโดนาติ ( Donati a Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่มาก นักดาราศาสตร์อิตาเลียนค้นพบในคืนวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ 2401 และคืนต่อๆมา จนถึงวันที่ 4มีนาคม พ.ศ. 2402 (รวมเวลา ๙ เดือน) ชาวไทยคงจะเห็นด้วยตาเปล่า ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2401 ดาวหางดังกล่าวมีลักษณะเป็น 2 หาง หางหนึ่งเหยียดตรง อีกหางหนึ่งเป็นพู่โค้งสวยงามอยู่ราว 2 เดือน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่า เมื่อประชาชนเห็นดาวหางโดนาติ แล้วจะตื่นเต้นไปตามคำลือต่างๆ จึงทรงออกประกาศเตือนชื่อว่า "ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก" นับเป็นประกาศทางวิทยาศาสตร์ฉบับแรกของประเทศ มีความว่า "ดาวหางนี้ชาวยุโรปได้เห็นมาแล้วหลายเดือน ดาวหางนี้มีคติแลทางยาวไปในท้องฟ้า แล้วก็กลับมาได้เห็นในประเทศทั้งนี้อีก เพราะเหตุนี้อย่าให้ราษฎรทั้งปวงตื่นกัน และคิดวิตกเล่าลือไปต่างๆ ด้วยว่ามิใช่จะเห็นแต่ในพระนครนี้ และเมืองที่ใกล้เคียงเท่านั้นหามิ ได้ย่อมได้เห็นทุกบ้านทุกเมืองทั่วพิภพอย่างนี้แล"

ดาวหางเทพบุท (Tebbut s Comet ) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่ หางยาว และสว่างกว่าดาวหางโดนาติ ปรากฏแก่สายตาชาวโลก ระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม พ.ศ. 2404 เป็นดาวที่พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยมากยิ่งขึ้น ถึงกับทรงได้คำนวณไว้ล่วงหน้าว่า จะปรากฏเมื่อใด และได้ทรงออกประกาศไว้ล่วงหน้า มิให้ประชาชนตื่นตระหนก ทั้งนี้เพราะพระองค์ มีพระราชประสงค์มุ่งขจัดความเชื่อ เกี่ยวกับเรื่องโชคลาง และทรงให้ราษฎรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ (ถ้าจะเกิด) อย่างมีเหตุผลตามแบบวิทยาศาสตร์



วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ

1. เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็น"พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"
2. เพื่อเป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ
3. เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจและโอกาสแก่นักวิจัย นักประดิษฐ์ ได้แสดงผลงานต่อสาธารณชน
4. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่าภาครัฐและเอกชนในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
5. เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นวิถีทางหนึ่งของการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้มีการจัดกิจกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากมาย เช่น นิทรรศการ ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การอภิปรายทางวิชาการ การตอบปัญหาทางวิทยาศาสตร์ การประกวดการแข่งขันต่าง ๆ เช่น โครงการทางวิทยาศาสตร์และสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

ในการจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้มีการมอบรางวัลให้แก่ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยจะทำพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติในวันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี

การจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ นับได้ว่ามีส่วนที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนคนไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น