วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

10 อาหารที่แพทย์จีนเตือน



ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน


1. ไข่เยี่ยวม้า : ไข่เยี่ยวม้ามี ตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่ว เช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ


2. ปาท่องโก๋ : กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย


3. เนื้อย่าง : กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง


4. ผักดอง : ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูง และโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง


5. ตับหมู : ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง(อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น


6. ผักขม ปวยเล้ง : ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้


7. บะหมี่สำเร็จรูป : บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการสะสมสารพิษได้


8. เมล็ดทานตะวัน : เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทว่า... การกินมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น


9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้ : กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย... ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย


10. ผงชูรส : คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา... การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกินทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูง อาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

ประโยชน์จากเปลือกแอปเปิ้ล




ป้องกันมะเร็งไส้ใหญ่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ



มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ...


นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูก จะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้



วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป" แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรค จะลดลงได้ประมาณถึงครึ่ง


พวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมัน คงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ และยังยับยั้งอาการตั้งต้นของโรค และการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วย


นักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือก มากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ซาลาเปา กับโรคอาหารเป็นพิษ


ซาลาเปา เป็นอาหารว่างอีกเมนูหนึ่งที่เรามักเห็นจำหน่ายอยู่ในร้านสะดวกซื้อหรือตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากเป็นอาหารที่หาทานง่าย ทานเป็นอาหารรองท้องสำหรับรอมื้อหลักหรือทานเป็นอาหารว่างก็เป็นที่นิยม เพราะราคาไม่สูงมากนัก


ปัจจุบันมีคนคิดและปรับปรุงสูตรของการผลิตไส้ซาลาเปาให้มีความหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการในรสชาติของผู้บริโภคทุกกลุ่ม มีทั้งไส้หวาน ไส้หมูสับไข่เค็ม ไส้หมูแดง ไส้ครีม และไส้แปลกใหม่อื่นๆ สำหรับคนที่ติดใจในรสชาติดั้งเดิมของซาลาเปาคือ ไส้หมูสับไข่เค็ม หรือไส้หมูแดง


ส่วนเด็กๆ และคนรุ่นใหม่ มักนิยมซาลาเปาที่มีเนื้อแป้งนุ่ม ผสมกับไส้ครีมหวานๆ มันๆ เมื่อเป็นอาหารว่างที่หาทานกันง่าย จึงไม่น่าแปลกที่ในตู้อาหารแช่แข็งตามร้านสะดวกซื้อ จะมีซาลาเปาบรรจุถุงจำหน่ายอยู่หลายยี่ห้อ เมื่อจะรับประทานก็เพียงแค่ฉีกซองแล้วนำไปอุ่นในไมโครเวฟ


หรือจะซื้อกลับมานึ่งในหม้อหุงข้าวที่บ้าน ตามแบบฉบับชาวบ้านก็ไม่แปลก เมื่อซาลาเปาได้รับความร้อนสักครู่ จากที่เป็นของแข็งอยู่ก็จะกลายมาเป็นซาลาเปาที่เนื้อนุ่ม พร้อมกับรสชาติที่ยังคงเหมือนเดิม


สำหรับซาลาเปาไส้ครีม นับเป็นอาหารอีกชนิดที่วันนี้คนชอบทานต้องระวัง

เพราะในไส้ครีมนั้นอาจมีอันตรายปะปนอยู่ได้อันตรายที่ว่า คือเชื้อก่อโรค "บาซิลลัสซีเรียส" ที่เป็นตัวการของโรคอาหารเป็นพิษ ทำให้มีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเหลวและอาจมีอาการคลื่นไส้รวมอยู่ด้วย

อย่าคิดว่าอาหารเช่นซาลาเปาไส้ครีม ที่ถูกอุ่นให้ร้อนแล้วจะไม่อันตราย ความจริงแล้ว หากนำมาเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้องนานเกินไปจนเย็นซีด โดยไม่ได้อุ่นให้ร้อนอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่เชื้อ "บาซิลลัสซีเรียส" จะเจริญเติบโตนั้นเป็นไปได้สูงมากๆ


วันนี้สถาบันอาหาร ได้ทำการสุ่มตัวอย่างซาลาเปาไส้ครีมจำนวน 5 ยี่ห้อ เพื่อนำมาวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนของเชื้อ "บาซิลลัสซีเรียส"

ปรากฏมี 1 ตัวอย่าง ที่พบการปนเปื้อน แต่ปริมาณที่พบปนเปื้อนนั้นยังไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน

ถึงตรงนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการเลือก ทางที่ดีซื้อจากร้านที่สะอาด มีการผลิตสดใหม่ทุกวัน หรือเลือกยี่ห้อที่บรรจุซาลาเปาในถึงที่สะอาด ไม่ฉีกขาด ฉลากระบุวันเดือนปีที่ผลิต หรือหมดอายุและที่สำคัญก่อนทานต้องอุ่นให้ร้อนเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย

“กำแพงมีหู ประตูมีช่อง” หรือ “หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง” กันแน่ ???



กำแพงมีหู ประตูมีช่อง หรือ กำเเพงมีหู ประตูมีตา



หมายความว่า การพูดหรือทำอะไรต้องระมัดระวัง เพราะแม้จะดูเสมือนว่าปกปิดมิดชิด คืออยู่ในกำแพงหรือปิดประตูแล้ว ก็ยังอาจมีคนล่วงรู้ได้

สาเหตุที่นำคำว่า กำแพง และ ประตู มาใช้คู่กัน อาจเป็นเพราะทั้งกำแพงและประตูที่ปิดอยู่ เป็นสิ่งที่กั้นบังไว้ไม่ให้ได้เห็นหรือได้ยิน แต่กำแพงและประตูก็อาจมีช่องมีรูให้แอบฟังหรือแอบดูได้


จึงเปรียบว่ากำแพงมีหู ประตูมีช่อง หรือ กำแพงมีหู ประตูมีตา


สำนวนนี้บางทีมีผู้ใช้ผิดว่า หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง



อาการปากเเห้งคืออะไร



อาการปากแห้ง

หมายถึง การที่คุณไม่มีน้ำลายที่เพียงพอเพื่อให้ปากชุ่มชื้น ทุกคนสามารถมีอาการปากแห้งได้เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเวลาที่เราตื่นเต้นหรือกังวลใจ เสียใจหรือเครียด แต่ถ้าคุณมีอาการปากแห้งเป็นส่วนใหญ่ นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ หรือส่งสัญญาณว่าคุณมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ ทั้งนี้น้ำลายไม่ได้มีไว้เพียงให้ความชุ่มชื้น แต่น้ำลายยังช่วยย่อยอาหาร ปกป้องฟันจากการผุ ป้องกันการติดเชื้อโดยการควบคุมแบคทีเรียในปาก และทำให้คุณสามารถเคี้ยวและกลืนอาหารได้


เหตุผลที่ทำให้ต่อมน้ำลายทำงานไม่ปกติมีหลาย ประการได้แก่


ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด - ยากว่า 400 ประเภทสามารถทำให้เกิดอาการปากแห้ง อาทิเช่น ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ และยาลดความดันโลหิต

โรคบางชนิด - โรคที่มีผลกระทบต่อต่อมน้ำลาย อาทิ โรคเบาหวาน โรคฮอดจ์กิน โรคพาร์กินสัน โรค HIV/AIDS และโรคตาแห้ง (Sjogren's syndrome) สามารถนำไปสู่อาการปากแห้งได้

การฉายรังสี - ต่อมน้ำลายอาจถูกทำลายได้ถ้าส่วนศรีษะและคอสัมผัสถูกรังสีระหว่างการรักษา มะเร็ง การสูญเสียน้ำลายอาจจะเป็นเพียงบางส่วนหรือทั้งหมดช่องปาก และอาจเป็นอาการชั่วคราวหรือถาวรได้

เคมีบำบัด - ยาที่ใช้ในการรักษามะเร็งสามารถทำให้น้ำลายมีความเหนียงขึ้น ทำให้คุณรู้สึกปากแห้ง

การหมดประจำเดือน - ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อต่อมน้ำลาย ทำให้ผู้หญิงมีอาการปากแห้งในช่วงหลังจากมีประจำเดือนและในวัยหมดประจำเดือน

การสูบบุหรี่ - ผู้สูบไปป์ ซิการ์ และบุหรี่จัด อาจมีอาการปากแห้ง



เราจะทราบได้อย่างไรว่ามีอาการปากแห้ง

ปากของทุกคนสามารถมีอาการแห้งได้เป็นครั้งคราว แต่จะเป็นปัญหาเมื่อคุณรู้สึกว่าอาการปากแห้งไม่หายไป อาการบางอย่างของอาการปากแห้งมีดังนี้:

ความรู้สึกเหนียวหรือแห้งในปาก

มีปัญหาในการกลืน

มีอาการปากร้อน

คอแห้ง

ริมฝีปากแตกแห้ง

ความสามารถในการรับรสชาติน้อยลง และความรู้สึกถึงรสชาติคล้ายโลหะในปาก

อาการเจ็บปาก

ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

ปัญหาในการเคี้ยวอาหารและการพูด

อาการปากแห้งสามารถรักษาได้อย่างไร

การรักษาแบบถาวรทางเดียวคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าอาการปากแห้งของคุณเกิดจากการใช้ยาบางชนิด แพทย์อาจเปลี่ยนการสั่งยาหรือปรับปริมาณยาให้ ถ้าต่อมน้ำลายทำงานผิดปกติ แต่ยังสามารถผลิตน้ำลายได้ แพทย์อาจสั่งยาที่ช่วยให้ต่อมน้ำลายทำงานดีขึ้น

ถ้าอาการปากแห้งไม่สามารถรักษาได้ หรือระหว่างรอการรักษา คุณสามารถรักษาความชุ่มชื้นในปากได้หลายวิธี ทันตแพทย์อาจแนะนำสิ่งที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในปาก อาทิ น้ำลายเทียม การบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสูตรพิเศษเฉพาะสำหรับอาการปากแห้งอาจช่วยได้เช่น กัน นอกจากนี้ คุณอาจจะ:

จิบน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาลบ่อยๆ

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลมบางชนิด ที่ทำให้ปากแห้ง

เคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล หรือลูกอมปราศจากน้ำตาลที่กระตุ้นการผลิตน้ำลาย (ถ้าต่อมน้ำลายยังคงทำงานได้อยู่)

ไม่ใช้ยาสูบหรือแอลกอฮอล์ที่ทำให้ปากแห้ง

ระวังอาหารรสเผ็ดหรือเค็มซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บในปาก